Health

  • เหงื่อออก มีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ
    เหงื่อออก มีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ

    เหงื่อออก มีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ

    เหงื่อออก เป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอทุกวัน ยิ่งอาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเราไปจนถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน จะกระตุ้นให้ออกมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เหงื่อในลักษณะไหนที่ส่งสัญญาณบอกให้ควรหันมาใส่ใจกับสุขภาพ

    เรื่องน่ารู้ของอาการเหงื่อออกเยอะ

    เหงื่อออก เป็นของเสียรูปแบบหนึ่งที่ถูกขับจากต่อมเหงื่อออกมาทางผิวหนัง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลง โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นน้ำและเกลือ มักจะออกตามใบหน้า รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

    • อุณหภูมิภายในหรือภายนอกร่างกายสูงขึ้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหงื่อออก
    • สภาวะทางอารมณ์ก็มีส่วนกระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น โกรธ กลัว เครียด วิตกกังวล หรืออึดอัดใจ
    • การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารเผ็ดร้อน เครื่องดื่มคาเฟอีน ชา กาแฟ โซดา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกในขณะรับประทานอาหาร
    • อาการป่วยทางร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง ไข้ขึ้น อาการติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดต่ำ กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่อย่างซับซ้อนบริเวณแขนขาหรือกลุ่มอาการซีอาร์พีเอส (Complex Regional Pain Syndrome)
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหรือมอร์ฟีน ยาบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน (Synthetic Thyroid Hormones)
    • อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เหงื่อออก จึงสังเกตเห็นได้ว่าผู้หญิงวัยทองมักมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีอาการร้อนวูบวาบพร้อมกับเหงื่อออก

    ปริมาณเหงื่อแต่ละวันที่ถูกขับออกจากร่างกายจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน อาจมีปริมาณน้อยกว่า 1 ลิตรไปจนถึงหลายลิตร ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในระหว่างวันและสภาพอากาศ เช่น พนักงานออฟฟิศในตึกที่ควบคุมอุณหภูมิให้เย็นสบายจะมีเหงื่อออกน้อยกว่าคนงานที่ทำงานข้างนอกตึกในสภาพอากาศร้อนจัด การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง จะทำให้เหงื่อออกได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ ปริมาณเหงื่อยังขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมเหงื่อในร่างกาย โดยผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะเหงื่อออกได้ง่ายกว่าวัยอื่น เพราะเป็นช่วงที่ต่อมเหล่านี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต่อมเหงื่อของผู้ชายมักทำงานได้มากกว่าผู้หญิง

    อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาจากเหงื่อคงหนีไม่พ้นเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตัวการของกลิ่นไม่ได้มาจากเหงื่อโดยตรง แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังทำปฏิกิริยากับกรดในเหงื่อจนกลายเป็นกลิ่นตัว (Bromhidrosis) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว และผู้ชายก็มักมีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าสาวๆ เนื่องจากมีต่อมเหงื่อมากกว่า จึงทำให้ผลิตเหงื่อออกมามาก รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย เช่น น้ำหนักตัวมาก รับประทานอาหารรสจัดหรือแอลกอฮอล์ รับประทานยาบางชนิดอย่างยาต้านเศร้า (Antidepressants) หรือโรคบางโรค

    เหงื่อบ่งบอกสุขภาพได้อย่างไร

    ความเหนียวตัวและกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเหงื่อทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิดจนพาลไม่อยากให้เหงื่อออก แต่หากเหงื่อไม่ออกเลย ออกเพียงช่วงกลางคืน หรือแม้แต่ออกมากเกินในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่ควรระวัง เพราะมักเป็นปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งภาวะเหงื่อออกผิดปกติที่พบได้บ่อย ได้แก่

    • ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis)

    เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเหงื่อได้ตามปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้สูงเกินไป ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความร้อน เช่น ตะคริวแดด (Heat Cramp) อาการเพลียแดด (Heat Exhaustion) จากการโดนแดดหรือความร้อนเป็นเวลานานจนทำให้หมดแรง โรคลมแดด (Heat Stroke) และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเมื่อุณหภูมิในร่างกายสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส เพราะร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปพร้อมกับเหงื่อได้ทัน

    ภาวะขาดเหงื่อเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกายหรือเกิดเป็นเฉพาะบางจุด โดยสาเหตุการเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณผิวหนังอย่างรุนแรง โรคหรือยาบางชนิด สภาวะบางอย่างที่ทำให้ระบบเส้นประสาทเสียหาย ภาวะขาดน้ำ หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ ส่วนการรักษาต้องพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เพื่อรักษาให้หายขาด

    • เหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)

    ภาวะหลั่งเหงื่อมากเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามากเกินความจำเป็น เนื่องจากกลไกการลดอุณหภูมิของร่างกายไวต่อการกระตุ้นและจำนวนต่อมเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตเหงื่อออกมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า เช่น นั่งเฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็อาจทำให้เหงื่อท่วมตัว หรือในหน้าหนาวที่อากาศค่อนข้างเย็นกลับพบว่ามีเหงื่อออกมากเหมือนในหน้าร้อน

    สาเหตุของเหงื่อออกมากผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจมาจากการรับประทานยารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานหรือโรคของต่อมไทรอยด์ เข้าสู่ช่วงวัยทอง รวมไปถึงการติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด

    เมื่อเหงื่อออกมากก็จะทำให้เกิดกลิ่นตามมา โดยเฉพาะจุดอับตามร่างกาย ผู้ที่เกิดภาวะหลั่งเหงื่อมากควรเริ่มต้นด้วยการดูแลความสะอาดของร่างกายตามคำแนะนำ ดังนี้

    • อาบน้ำเป็นประจำทุกวันหรืออาบบ่อยขึ้นในวันที่อากาศร้อน ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียตามผิวหนังและจุดซ่อนเร้นไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น รวมไปถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
    • รักษาความสะอาดของจุดซ่อนเร้น เพราะเป็นจุดอับที่เกิดกลิ่นได้ง่าย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหลังอาบน้ำ โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม คลอไรด์ (Aluminium Chloride) ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเหงื่อให้น้อยลง
    • เลือกสวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เพราะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี ไม่ก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
    • สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
    • เลี่ยงรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัตว์เนื้อแดง ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกมากขึ้น

    หากการดูแลเบื้องต้นไม่ดีขึ้น การรักษาทางการแพทย์อาจใช้การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน(Botulinum Toxin) ในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เช่น ใต้วงแขน แขน ขา หรือใบหน้า ซึ่งช่วยยับยั้งการส่งสัญญาณของสมองไปยังต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อน้อยลง

    ในกรณีที่เกิดกลิ่นตัวอย่างรุนแรงมากจนไม่สามารถบรรเทากลิ่นให้น้อยลงด้วยวิธีการอื่น แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดกำจัดต่อมเหงื่อบางส่วนออก ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธีที่นิยมใช้ เช่น การผ่าตัดนำเนื้อเยื่อหรือผิวหนังใต้วงแขนบางส่วนออก การดูดต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังออกโดยใช้เทคนิคเดียวกับการดูดไขมัน (Liposuction) การผ่าตัดผ่านรูกุญแจ (Keyhole Surgery) ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Endoscopic Thoracic Sympathectomy (ETS) เพื่อทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมการผลิตเหงื่อ

    • เหงื่อออกกลางคืน (Night Sweat)

    เป็นภาวะที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะช่วงกลางคืน โดยไม่มีปัจจัยอื่นกระตุ้นให้เหงื่อออกและอุณหภูมิของห้องเป็นปกติ บางครั้งอาจมีเหงื่อออกมากจนที่นอนเปียกชื้น ภาวะนี้ในบางครั้งอาจวินิจฉัยได้ยาก เพราะบางคนเหงื่อออกจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิในห้องนอนสูงเกินไป ชุดเครื่องนอนหนามาก หรือบนเตียงมีหมอนเยอะหลายใบจนทำให้รู้สึกร้อน แพทย์จึงต้องแยกสาเหตุทั่วไปและทางการแพทย์ออกจากกัน

    สาเหตุการเกิดอาจมาได้จากหลายส่วน ภาวะนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของวัยทอง เช่น ช่องคลอดแห้ง รู้สึกร้อนวูบวาบในช่วงกลางวัน อารมณ์แปรปรวน ส่วนสาเหตุอื่นๆ เกิดได้จากการรับประทานยาบางชนิด ความผิดปกติของฮอร์โมน ไข้ขึ้น แต่ในบางรายก็เป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง แต่พบได้ค่อนข้างน้อย ในการวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อมูลหลายส่วนประกอบกัน

    อาการเหงื่อออกเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพบางส่วนจากระบบทำงานของร่างกายที่ผิดเพี้ยนไป แต่หากขาดการดูแลและรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสมย่อมจะเกิดผลเสียตามมา จึงควรหมั่นสังเกตว่าเหงื่อที่ออกในชีวิตประจำวันเป็นปกติหรือพ่วงความผิดปกติใดมาหรือไม่ เช่น เจ็บหน้าอก ไข้ขึ้น หัวใจเต้นเร็วและถี่ หายใจสั้น น้ำหนักลง เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังเผชิญกับการติดเชื้อหรือโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ที่ซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เมื่อมีเหงื่อออกในลักษณะต่อไปนี้

    • เหงื่อออกมากหรือออกเป็นระยะเวลานานโดยหาสาเหตุไม่ได้
    • มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือความดันโลหิตเกิดขึ้นพร้อมกับเหงื่อออก หรืออาจเกิดตามมา
    • เหงื่อออกบ่อยๆ ในช่วงกลางคืนหรือเหงื่อออกมากจนน้ำหนักลด

    เหงื่อออก

    เหงื่อมากผิดปกติ มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร

    การักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอาการเข้ากับกลุ่มไหน ถ้าสงสัยว่าเป็น Secondary Hyperhidrosis (กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย) ก็ต้องไปหาว่าเป็นโรคอะไร และรักษาโรคนั้น อาการเหงื่อออกมากผิดปกติก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้าอาการเข้าได้กับ Primary focal hyperhidrosis และหาสาเหตุไม่ได้ ก็จะรักษาโดยการลดปริมาณเหงื่อที่ออกในบริเวณนั้นๆ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

    1.ทายา ที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ (Antiperspirants)

    หรือสารระงับเหงื่อ ออกฤทธิ์ทำให้โปรตีนในผิวหนังเกิดการตกตะกอน เมื่อสารนี้ซึมเข้าไปสู่รูต่อมเหงื่อ เกลืออลูมิเนียมจะเข้าเกาะติดในรูต่อมเหงื่อจนทำให้รูอุดตัน และปิดกั้นทางออกของเหงื่อไว้ สามารถทาได้ทั้งบริเวณ ไรผม รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยต้องทายาก่อนนอนในบริเวณที่เหงื่อออกมากแล้วล้างออกตอนเช้า ยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ใช้ได้

    2.การฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินชนิดเอ (botulinum toxin type A)

    บริเวณรักแร้ หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ก่อนฉีดก็จะมีการทายาชาและประคบน้ำแข็ง โดยอาจจะมีการทดสอบก่อน (Starch-Iodine Test) เพื่อดูบริเวณที่เหงื่อออก จะได้ฉีดให้ครอบคลุมทั่วบริเวณ ซึ่งฤทธิ์ของโบทูลินั่มท็อกซินจะอยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน เมื่อหมดฤทธิ์เหงื่อก็จะกลับมาออกตามปกติ

    3.MiraDry

    คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ช่วยในการแก้ไขปัญหาเหงื่อ และกลิ่นตัวบริเวณใต้วงแขน โดยการใช้พลังงานคลื่นไมโครเวฟ ส่งพลังงานความร้อนลงไปทำลายต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถาวร โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และยังมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นเครื่องเดียวในปัจจุบัน ที่ได้รับรับรองจาก FDA ในการรักษาโรคนี้

    4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis)

    เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง อาจต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง

    5.การผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออก (remove sweat glands)

    การกำจัดปมประสาทอัตโนมัติ (Sympathectomy) โดยการทำลายปมประสาทบางส่วนที่ส่งสัญญาณมาบริเวณใบหน้า ฝ่ามือ หรือรักแร้ ส่งผลให้ไม่มีการหลั่งเหงื่อเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นๆ

    การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเหงื่อออกเยอะผิดปกติ

    1. ควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี
    2. อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่าตามความสะดวก
    3. รักษาเท้าให้แห้งเสมอ เพื่อป้องกันการเป็นเชื้อรา
    4. สวมรองเท้าที่สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และมีรองเท้าสำรอง ใส่สลับสับเปลี่ยนทุกวัน เพื่อลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
    5. เลือกรับประทานอาหารชนิดที่ไม่เพิ่มการหลั่งเหงื่อเช่น อาหารรสเผ็ดจัด และอาหารที่ไม่เพิ่มกลิ่นทางเหงื่อ เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม
    6. ควบคุมอาการ ออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน

    ที่มา

     

    ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  ufa369s.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • ราคาน้ำมัน : ทำไมราคาเชื้อเพลิงไทยแพง แม้รัฐบาลมีงบอุดหนุน
    ราคาน้ำมัน : ทำไมราคาเชื้อเพลิงไทยแพง แม้รัฐบาลมีงบอุดหนุน

    แม้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อ 16 พ.ค. ให้ต่ออายุลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลให้เป็น 5 บาทต่อลิตรไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 21 พ.ค.- 20 ก.ค. 2565 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคการขนส่งจาก แต่ราคาขายปลีกก็ยังพุ่งเนื่องจาก ราคาน้ำมัน ในตลาดโลกก็ยังมีความผันผวน

    เป้าประสงค์ในการตัดสินใจของ ครม. ครั้งนี้ ก็เพื่อพยุงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับลิตรละ 32 บาทต่อไปอีกระยะ อย่างไรก็ตาม ต่อมาในวันที่ 30 พ.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติคงราคาดีเซลมาอยู่ที่ลิตรละ 33 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. เป็นต้นไป

    วันที่ 13 มิ.ย. นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ว่าที่ประชุมมีติเห็นให้ปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศเป็น 35 บาทต่อลิตร จาก 34 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. เป็นต้นไป เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนและยังมีราคาสูงอยู่

    ขณะที่ กองทุนอุดหนุนที่บริหารโดย กบน. คาดว่าจะติดลบทะลุ 100,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจาก ข้อมูล ณ วันที่ 13 มิ.ย. กองทุนอุดหนุนดังกล่าวติดลบไปแล้ว 91,089 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 54,574 ล้านบาท และบัญชีแก๊สหุงต้มติดลบ 36,515 ล้านบาท ส่วนกระแสเงินสดอยู่ที่ 11,152 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากธนาคาร 8,277 ล้านบาท เงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง 2,875 ล้านบาท

    นอกจากราคาต้นทุนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ผันผวนแล้ว ยังมีปัจจัยอะไรที่ทำให้รัฐยังไม่สามารถบริหารจัดการราคาเชื้อเพลิงได้มากนัก บีบีซีไทยรวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาอธิบาย ดังนี้

    ราคาน้ำมัน 2

    โครงสร้าง ราคาน้ำมัน สำเร็จรูปในไทย

    ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทย ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน อธิบายว่าในราคาน้ำมันแต่ละลิตรที่สถานีบริการน้ำมันมีองค์ประกอบใหญ่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

    1. ราคาหน้าโรงกลั่น เป็นส่วนที่ผู้ประกอบการโรงกลั่นจะได้รับเงินส่วนนี้ไป โดยไทยจะอ้างอิงจากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามตลาดสิงคโปร์เนื่องจากเป็นตลาดกลางในภูมิภาคนี้ คิดจากต้นทุนเนื้อน้ำมันดิบ บวกกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของโรงกลั่น เช่น ค่าการกลั่น ต้นทุนค่าขนส่ง เป็นต้น
    2. ภาษีต่าง ๆ ที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มเติมจากราคาน้ำมัน เพื่อไปใช้เป็นรายได้แผ่นดิน ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล 10% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นอกจากนี้ ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มอีกส่วนที่คิดจากค่าการตลาดอีกด้วย โดยคิดเป็น 7% ของค่าการตลาด
    3. เงินกองทุนต่าง ๆ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
    • เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเงินสำรองไว้ใช้ในยามที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน อธิบายคือ หากราคาน้ำมันตลาดโลกสูงเกินไป จะนำเงินส่วนนี้มาพยุงราคาขายปลีกในประเทศไว้ โดยที่น้ำมันแต่ละชนิดจะมีอัตราการเรียกเก็บแตกต่างกัน
    • เงินกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เป็นส่วนที่นำไปใช้ส่งเสริมด้านพลังงานทดแทนในประเทศ โดยจัดเก็บเท่ากันในอัตรา 0.10 บาท/ลิตร
    1. ค่าการตลาด เป็นส่วนที่ผู้ประกอบการสามารถกำหนดเองได้อย่างเสรี ภายใต้กลไกตลาดและการแข่งขัน ซึ่งเงินส่วนนี่้จะเป็นเหมือนกับส่วนกำไรของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกน้ำมัน

    จากโครงสร้างราคาน้ำมันดังกล่าวจึงมีหลายฝ่าย ออกมาเรียกร้องลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเพื่อช่วยพยุงให้ราคาน้ำมันไม่ให้แพงไปมากกว่านี้ และใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลด้วยเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

    ราคาน้ำมัน ปาล์มขึ้น ทำราคาไบโอดีเซลพุ่ง

    สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ตั้งแต่ 22 ก.พ. เป็นปัจจัยซ้ำเติมให้สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเลวร้ายลงจากช่วงต้นปี 2565

    นักวิชาการส่วนหนึ่ง และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานทบทวนมาตรการส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ที่ใช้ผสมในน้ำมันดีเซล หรือ “ไบโอดีเซล” หลังจากราคาปาล์มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดอยู่ที่ กิโลกรัมละ 9-10 บาท

    นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ธิบายไว้บนเว็บไซต์กระทรวงพลังงานในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาว่า กระทรวงพลังงานใช้ราคาไบโอดีเซลอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนน้ำมันหน้าโรงกลั่นเพื่อจัดทำประกาศโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล บี7 บี10 และ บี20 หากราคาไบโอดีเซลปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกและผู้ใช้น้ำมัน

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ในกิจกรรม Truck Power Final Season สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมราคาน้ำมันหลายประการ นอกจากขอให้รัฐบาลคงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ราคา 25 บาทต่อลิตรแล้ว อีกหนึ่งในข้อเรียกร้องของสหพันธ์ฯ คือ การขอให้ตัดส่วนผสมไบโอดีเซลออกไปเพื่อให้ราคาปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมีความเป็นไปได้ยาก เพราะที่ผ่านมาภาครัฐมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และหากลดปริมาณการใช้วัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพลง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มด้วย

    นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อ 29 พ.ค. ถึงนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลว่า เป็นการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานสะอาด ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดฝุ่นละออง อีกทั้งยังช่วยรักษาเสถียรภาพระดับราคาพืชผลเกษตรกรไม่ให้ตกต่ำ มีรายได้ที่มั่นคง และในด้านพลังงานถือว่าช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ลดพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ

    ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซลเป็น บี5 (ใช้น้ำมันปาล์ม 5 ส่วนจากไบโอดีเซล 100 ส่วน) เป็นการชั่วคราวในช่วงที่ B100 มีราคาสูง โดยมีผลตั้งแต่ 5 ก.พ. ถึง 30 มิ.ย. นี้

    ลุ้นกู้งบกลางเสริมกองทุนน้ำมันขาดสภาพคล่อง

    กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการช่วงให้รัฐบาลสามารถตรึงราคาน้ำมันได้ ทว่าในตอนนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กลับกำลังเผชิญกับปัญหาขาดสภาพคล่องในการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล

    ปัจจุบัน สกนช. มีเงินไหลเข้าเฉลี่ยเดือนละ 2,000 ล้านบาท แต่มีเงินไหลออกเฉลี่ย 7,000 ล้านบาท ส่งผลให้ติดลบเดือนละประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่ฝากไว้ที่กระทรวงการคลังอีกราว 1.2 หมื่นล้านบาท จึงทำให้สามารถบริหารจัดการเงินอุดหนุนราคาดีเซลได้อีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น

    นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผอ. สกนช. เปิดเผยสื่อมวลชนเมื่อ 27 พ.ค. ว่า กองทุนน้ำมันฯ ได้เสนอขอให้รัฐบาลใช้งบกลาง เพื่อเติมสภาพคล่องตามมาตรา 6 (2) ของกองทุนน้ำมันฯ ได้ระบุว่า รัฐบาลอาจจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนได้ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินและจำเป็น

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้ ผอ. สกนช. จำเป็นต้องขอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้กองทุนเนื่องจากการเจรจาขอกู้เงินจากสถาบันการเงินยังไม่มีข้อยุติ จึงต้องใช้งบกลางเข้ามาสนับสนุนกองทุนน้ำมันเป็นการทดแทน

    สำหรับการกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อมาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนนี้ เป็นผลมาจากมติ ครม. เมื่อ พ.ย. 2564 ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้ สกนช. ดำเนินการกู้เฉพาะวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามกรอบของกฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ และจะดำเนินการกู้เงินเพิ่มเติมวงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลบังคับทางกฎหมายแล้วหลังจากพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้รักษาราคาน้ำมันฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้้ามันเชื้อเพลิงในประเทศ พ.ศ. 2564 ประกาศเมื่อ 29 พ.ค. 2564

    ปมใหม่ ค่ากลั่นน้ำมันพุ่ง 10 เท่า ภายใน 2 ปี

    ประเด็นใหม่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมาพร้อมด้วยนายอรรรวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค ในหัวข้อวิกฤตพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเขาระบุว่าราคาค่ากลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา

    “ตอนนี้คนไทยกำลังโดนปล้นจากค่ากลั่นน้ำมัน จากข้อมูลราคาค่ากลั่นน้ำมันในช่วงเวลาเดียวกันปี 2563 อยู่ที่ 0.88 บาทต่อลิตร ปี 2564 อยู่ที่ 0.87 บาทต่อลิตร แต่ปี 2565 กระโดดมาอยู่ที่ 8.56 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 เท่า เท่ากับค่ากลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ไปเพิ่มตามราคาตลาดน้ำมันสิงคโปร์ ทั้งที่ต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้น กลายเป็นภาระประชาชน ภาระกองทุนน้ำมัน แต่ทำไมรัฐปล่อยให้ฟันกำไรได้ขนาดนี้” นายกรณ์ถาม

    นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคกล้า ยังเสนอแนวทางแก้ปัญหา 3 ประการ คือ

    ควรกำหนดเพดานค่าการกลั่น เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันการค้ากำไรเกินควร พร้อมกำหนดขึ้นต่ำไม่ให้ถึงกับขาดทุน

    เสนอเก็บ “ภาษีลาภลอย” (Windfall Tax) เพราะส่วนต่างจากราคาการกลั่นน้ำมัน เป็นราคาลาภลอยให้กับบริษัท ทำให้ได้กำไรจากส่วนต่าง จึงควรเก็บภาษีลาภลอย เพื่อนำกำไรที่เกินมาช่วยเหลือประชาชน นำมาช่วยในกองทุนน้ำมันต่อไป

    ต้องจริงจังกับมาตรการประหยัดการใช้พลังงาน

    อย่างไรก็ตาม ต่อมาในวันที่ 13 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว ว่าตอนนี้กำลังหาทางอยู่ในเรื่องของการกลั่น โดยได้สั่งให้ตรวจสอบไปแล้ว ต้องเป็นการขอความร่วมมือ เพราะกฎหมายมันมีอยู่

    สรุป แนวโน้ม ราคาน้ำมัน ปี 2023 ของธนาคารโลก

    • ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบที่มาจากแหล่งผลิตแถบยุโรป) ปี 2023 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 92 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงจากปี 2022 คาดว่าอยู่ที่ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • ถึงแม้ราคาน้ำมันในปี 2023 จะลดลง แต่ก็ยัง +50% จากราคาเฉลี่ย 5 ปี นับจากปี 2020-2024
    • ราคาพลังงานที่แพงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้ราคาอื่น ๆ ปรับขึ้น เช่น ค่าขนส่ง ค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจ
    • แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะรุนแรง ถ้าเกิดในประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่ามากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.ufa369s.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา www.bbc.com